การไปกางเต็นท์แบบเอ้าดอร์หรือกลางแจ้งนั้น ส่วนใหญ่ปัญหาแรกๆ ที่จะต้องเจอเลยก็คือ เต็นท์จะเปียกชื้นจากน้ำค้าง หรือเจอฝน รวมทั้งความสกปรกอื่นๆ เช่นเศษหิน เศษดินทราย เป็นต้น ดังนั้นเต็นท์จึงสกปรกแน่นอน จะสกปรกมากหรือน้อยก็ควรทำความสะอาด ถ้าสกปรกน้อยก็ควรทำความสะอาดด้วยการใช้ไม้กวาดเพื่อปัดกวาดเอาเศษขยะภายในเต็นท์ และที่ติดอยู่ตามภายนอกเต็นท์ออกไป และใช้ผ้าชุบน้ำเปล่าพอหมาดๆ นำมาเช็ดถูภายในเต็นท์และภายนอกเต็นท์ ห้ามใช้แปรงขัดเพราะแปรงจะทำให้สารเคลือบหลุดออกเช่นกัน จากนั้นนำไปตากแดดในที่ร่มหรือแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือยามเย็น ควรตากให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันกลิ่นอับและเชื้อราที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเต็นท์สกปรกมาก ก็ควรใช้น้ำสะอาดล้างหรือควรใช้น้ำผสมสบู่หรือยาสระผมอย่างอ่อน ห้ามใช้ผงซักฟอกอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เนื้อผ้าของเต็นท์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น...
ทิ้งท้ายเอาไว้ที่การเดินทางของ TJM 4×4 Thailand ในครั้งที่แล้ว ตอกย้ำความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์สำหรับรถออฟโรดแบบครบวงจร สัญชาติไทย เชื้อชาติออสเตรเลีย นอกจากพาสมาชิกเดินทางไปเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของ TJM 4×4 และ Aeroklas ตามช็อปต่างๆ ในเพิร์ทแล้ว เพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นตัวตนที่แท้จริงของชาวออสซี่ TJM 4×4 Thailand จึงจัดทริปสุดพิเศษ ด้วยการพาไปท่องเที่ยว ใช้ชีวิตกลางแจ้งแบบแคมป์คาร์ที่ Wellington National Park และ Waroona
ที่ไล่ยาวๆ มาถึงตรงนี้ก็เพื่อต้องการจะบอกว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีความหลากหลายในพื้นที่ จึงไม่แปลกที่รถยนต์ประเภทขับเคลื่อนสี่ล้อ จะได้รับความนิยมอย่างสูง เป็นตลาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งเรื่องของรถขับเคลื่อนสี่ล้อและอุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ และส่วนใหญ่คนออสเตรเลียก็มักจะมีการเสริมแต่งในระบบช่วงล่าง รูปทรงภายนอก อุปกรณ์หลักที่ขาดไม่ได้ก็คือ กันชนหน้า ด้วยว่าแทบทุกพื้นที่ในออสเตรเลีย มักเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะจิงโจ้, Wallabee และหมีอะโคร่า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทุกคันมักนิยมใส่กันชนเป็นอันดับแรกๆ มุ่งไปในเรื่องของความปลอดภัยของผู้ขับขี่และความเสียหายของตัวรถเป็นหลัก
กลับเข้าเรื่องของการเดินทางกันต่อดีกว่า เพราะเช้าตรู่ของวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของเพิร์ธ “ครอบครัว TJM” ที่นำทีมโดย คุณสุภาวดี วิทูรปกรณ์ หรือคุณตุ๊ก กรรมการผู้จัดการ และคุณตฤณ เยี่ยมยงชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ก็เดินทางออกจากKewdale ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่ง TJM สาขาใหญ่ที่สุดในเมืองเพิร์ท บนถนน Adernethy ด้วยรถยนต์ที่มีฐานการผลิตอยู่ในบ้านเรา ทั้ง Toyota Hilux Revo, Nissan Navara Np 300, Ford Ranger, Mazda Bt50 Pro และ Toyota Land Cruiser Prado ทุกคัน เป็นรถสแตนดาร์ดจากโรงงานผู้ผลิต ปรับเปลี่ยนก็แค่ ช่วงล่าง เปลี่ยนยางมาใช้ All Terrian ดูแข็งแกร่ง บึกบึน ด้วยชุดกันชนหน้า-หลัง ไซลเรล แร็คหลังคา เสริมเขี้ยวเล็บด้วยวินช์ เป็นต้น เป็นผลิตภัณฑ์ของ TJM ทั้งหมดที่พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ ทุกคันบรรทุกสัมภาระแบบเต็มพิกัด ทั้งเต็นท์ เครื่องนอน เครื่องยังชีพต่างๆ จนแน่นขนัด นั่นทำให้น้ำหนักของรถแต่ละคันจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
บนถนนทางหลวงหมายเลข 2 จากเมืองเพิร์ธ ที่ราบเรียบยามสาย เริ่มพลุกพล่านได้ด้วยรถบรรทุกและรถยนต์นานาชนิด ขบวนของเรามุ่งหน้าลงใต้ด้วยการใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงบ้าง แต่ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดตามกฎหมายกำหนด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ ก็สลัดถนนสายหลักหักเลี้ยวซ้ายสู่ Harvey เมืองเล็กๆ กลางทุ่งโล่งอันเป็นที่ตั้งของเขื่อน Harvey จากนั้นเลี้ยวขวาเดินทางต่อสู่ Brunswick Jn เพื่อพบกับผู้นำทางอย่าง Wayne De Villiers นักออฟโรดที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเพิร์ท
ทักทายและพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ Wayne De Villiers ที่ได้อธิบายถึงแผนการเดินทางคร่าวๆ เสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อ โดย Wayne De Villiers นำหน้าขบวนพาตัดเข้าสู่ถนนลูกรัง ลัดเลาะผ่านเรือกสวนและไร่ของชาวบ้าน มาทะลุสู่ตะเข็บป่ารอยต่อของ Wellington หนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่สำคัญของเพิร์ทจึงหยุดพักขบวนกันอีกครั้ง เพื่อเช็คความเรียบร้อยของรถ และปล่อยลมยางเพื่อเพิ่มหน้าสัมผัสและช่วยซับแรงกระแทกอีกทางหนึ่งด้วย
เราขับตามกันมาเรื่อยๆ ทิ้งระยะพองาม บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุม บ่อ และร่องลึก ขนานไปกับไฟป่าที่ดักอยู่เป็นช่วงๆ ซึ่งปัญหาไฟป่าพบเห็นได้เกือบตลอดในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน อันเนื่องจากอากาศของออสเตรเลียนั้นค่อนข้างแห้ง และพื้นที่ทั่วไปมีความชื้นสัมพัทธ์ค่อนข้างน้อย ปัญหาไฟป่าจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
รถทั้ง 8 คัน ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เครื่องยนต์คำรามกระหึ่มเมื่อแล่นผ่านเส้นทางขึ้นๆ ลงๆ ของเหลี่ยมเขาที่สูงชัน หลายครั้งต้องลงไปบอกไลน์โดยเฉพาะร่องลึกที่ลงเขาแบบยาวๆ แต่ด้วยสมรรถนะของรถ ทักษะผู้ขับ บวกกับระบบช่วงล่างที่มีการปรับแต่งจาก TJM มาเป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหา กระทั่งบ่ายเศษๆ ก็มาถึงจุดไฮไลท์ของเส้นทางนี้ เป็นร่องลึกไต่ความสูงที่คดเคี้ยวของเนินเขาอันสูงชันไปจนสุดลูกหูลูกตา คะเนจากสายตาไม่ต่ำกว่า 200-300 เมตร ความสูงชันไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไรนัก แต่ปัญหาก็คือ ในท้องร่องเต็มไปด้วยน้ำซับที่ไหลบ่าลงมาตลอดทั้งเส้นทาง ซึ่งชาวออฟโรดทราบสรรพคุณกันดีว่า ทางลักษณะนี้ลื่นอย่างวายร้าย อาศัยความแรงของรถเพียงอย่างเดียวยากที่จะผ่านไปได้ แถมยางที่ติดรถก็เป็นยาง All Terain บวกกับน้ำหนักของรถและของที่บรรทุกมา รวมน้ำหนักแต่ละคันไม่ต่ำกว่า 3 ตัน เป็นไปได้ยากมากที่จะผ่านด่านนี้ไปได้ ยกเว้นต้องใช้วินช์เป็นตัวช่วยเพียงอย่างเดียว
ทีมงานต้องมานั่งวางแผนกันใหม่ ว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง ทดสอบโดยให้รถนำอย่าง Wayne De Villiers ที่แต่งมาแบบเต็มๆ ล่วงหน้าขึ้นไปก่อน ซึ่งก็ใช้เวลาไปเกือบๆ หนึ่งชั่วโมง วินช์ทั้งหมด 3 จุด อย่างไรก็ตามสุดท้ายทุกคนลงความเห็นว่า ไหนๆ ก็มาถึงออสเตรเลียทั้งที ควรจะเดินหน้าต่อ
อุปกรณ์ทุกอย่าง ทั้งเชือกลาก เชือกคล้องต้นไม้ แผ่นรองล้อกันลื่นหรือ Wheel Slip Pad ถูกนำมาใช้แทบทุกชิ้น แต่พระเอกจริงๆ ของงานนี้ก็ต้องยกให้กับ วินช์ TJM ที่สามารถลากจูงรถที่แต่ละคันมีน้ำหนักมากกว่า 3 ตัน สวนทางแรงดึงดูดของโลกจากตีนเนินมาจนถึงยอดเนิน มันทำงานอย่างซื่อสัตย์ ไม่มีการตัดหรือเกิดปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น สร้างความอุ่นใจและประทับใจให้กับคณะผู้เดินทางเป็นอย่างมาก
กระทั่งพลบค่ำรถทุกคันจึงสามารถผ่านอุปสรรคสำคัญในจุดนี้ไปได้ โดยใช้เวลาไปทั้งสิ้นมากกว่า 6 ชั่วโมง จากนั้นเราก็ต้องเดินทางฝ่าความมืดไปอีกเกือบ 30 กิโลเมตร เพื่อพักแรมที่ Potters Gorge Campground ในอุทยานแห่งชาติ Wellington ซึ่งทีมงานได้ล็อกเอาไว้ที่ Camp Sites 44-45 โดยที่อุณหภูมิค่อยๆ ลดต่ำลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงเลขตัวเดียว
หลังช่วยกันกางเต็นท์ และจัดเตรียมที่พักรวมทั้งทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็มาล้อมวงทานอาหารรอบๆ กองไฟ ที่ทางอุทยานฯจัดเตรียมไว้ให้ทุกจุดในแต่ละ Camp Sites ตรงกับจริตของชาวออสเตรเลีย ที่ส่วนใหญ่มักจะชอบท่องเที่ยวป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเราไปออสเตรเลีย เห็นรถบ้าน รถออฟโรดตกแต่งสไตล์แคมปิ้ง ถือว่าเป็นภาพที่ชินตา สำหรับคนที่นี่
รุ่งสางของวันใหม่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจับใจ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 9 องศาเซลเซียส แต่ละคนตื่นนอนกันแต่เช้า และได้มีโอกาสสำรวจจุดพักอย่างจริงจังหลังจากเมื่อคืนมาถึงกันตอนดึก และทราบว่าจุดที่เราพักนั้นอยู่ติดกับริมอ่างเก็บน้ำของเขื่อน Wellington รอบด้านรกทึบไปด้วยป่าใหญ่ ฝูงนกแก้ว Prirot เป็ดก่า และนกนานาชนิด ต่างออกหากินอยู่รอบๆ บริเวณแคมป์ของเรา บางตัวค่อนข้างเชื่อง ใจกล้าพอที่จะบินมาเกาะแขนเกาะขาขออาหารกับคณะเสียอีกด้วย
บรรยากาศในแคมป์ยามเช้าเป็นไปแบบสบายๆ กระทั่งสายเราจึงโบกมือร่ำลา Potters Gorge Campground มุ่งหน้าต่อไปยังบริเวณหน้าเขื่อน Wellington เพื่อชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม และเดินทางต่อไปอีกราว 20 กิโลเมตร ทาง Wayne De Villiers ก็พาตัดเข้าสู่เส้นทางออฟโรดอีกครั้ง แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่ของ Wellington เป็นเส้นทางลัดตัดไปออกยัง Waroona ทำให้แต่ละคันต้องขยับปรับเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ 4WD ตำแหน่ง SLOW กันอีกครั้งซึ่งความยากของเส้นทางนี้ ไม่แตกต่างจากเส้นทางเมื่อวานเท่าไรนัก แถมความลาดชันและร่องต่างๆ ก็มากและลึกกว่า โชคดีที่เส้นทางค่อนแห้งๆ ทำให้รถทุกคันค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านไปแบบไม่ยากเท่าไรนัก ตลอดเส้นทางมีร่อง มีไลน์ จุดให้ได้ทดสอบเป็นระยะๆ โดยเฉพาะปลายทาง บางช่วงมีให้เลือกขับเล่นถึง 4 เส้นทางด้วยกัน แต่ให้ไฮไลท์อยู่ที่ Gun Shot ซึ่งเป็นร่องลึกพอดีคันรถ และเนินชัน
ซึ่งบรรดานักขับเจ้าของร้านตกแต่งจากเมืองไทยเรา ถือว่าไม่เป็นรองชาวออฟโรดออสเตรเลียแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ เมื่อหมูหวานช็อป สามารถนำรถเดิมๆ กระโจนผ่าน Gun Shot มาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ท่ามกลางการปรบมือชอบอกชอบใจของออฟโรดออสซี่
เราออกจากเส้นทางป่า เดินทางมาถึง Waroona ในช่วงบ่ายแก่ๆ พร้อมแวะจัดซื้อเสบียงอาหารเพิ่มเติม แล้วเริ่มออกเดินทางไปยังจุดแคมปิ้งอีกครั้งห่างจาก Waroona ไปราว 16 กิโลเมตร โดยช่วงปลายของเส้นทางราว 8 กิโลเมตร ก็เป็นเส้นทางออฟโรด ขึ้นๆ ลงๆ เนินเขาอันสูงชันเช่นเดิม เลาะขนาดไปกับแนวของเสาไฟฟ้าแรงสูง ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็เดินทางมาถึงยังจุดพักแรมของคืนที่สอง
จุดพักแรมคืนที่สองนี้ ถือว่าค่อนข้างสวยงามและมีความเป็นธรรมชาติมาก เป็นลานหินกว้างๆ ตั้งอยู่เหนือน้ำตกเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยที่ด้านทิศตะวันออกเป็นป่าดงดิบรกทึบ ส่วนด้านทิศตะวันตกวิวเปิดกว้าง 180 องศา มองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนคล้ายกับลูกคลื่นในท้องทะเล ทุกคนต่างแบ่งแยกกันทำหน้าที่ของตัวเอง บ้างหาฟืนมาสุมไฟ กางเต็นท์ และทำอาหาร แข่งกับความมืดของรัตติกาลที่เริ่มคลี่ม่านราตรีปกคลุมมาเรื่อยๆ วันนี้อาหารมื้อเย็นถือว่าพิเศษสุดๆ นอกจากเมนูอาหารไทย ที่เป็นมีทั้งต้มยำและผัดกระเพราะแล้ว ทางทีมงาน TJM 4×4 Astralia ยังนำหมูมาหันพร้อมกับทำเค็กสไตล์ออสเตรเลียให้ทุกคนได้ชิมกันอีกด้วย บรรยากาศเป็นไปด้วยความสุข สนุกสนาน เต็มไปด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกคนหวั่นๆ ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เส้นทางนี้ก็คือ สภาพอากาศที่ขมุกขมัวมาตั้งแต่เมื่อคืน พาฝนเทลงมาเอาเมื่อย่ำรุ่ง และตกติดต่อกันยาวมาจนถึงช่วงยาว แม้ไม่หนักมาก แต่ก็ส่งผลให้ช่วงเช้าของวันนี้ดูขลุกขลักพอสมควร ดังนั้นหลังจากเก็บข้าวของและเต็นท์ รวมทั้งทานอาหารรองท้องกันเล็กน้อยแล้ว ก็ต้องรีบเดินทางย้อนกลับทันที ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่เส้นทางที่ทุกคนประหวั่นกันตั้งแต่แรก กลับไม่ได้สร้างปัญหาแม้แต่น้อย เพราะทางดินที่มีลักษณะเป็นดินลูกรังนั้นค่อนข้างแน่น ยกเว้นเนินสุดท้ายที่มีลักษณะหน้าดินเป็นหนังหมู ซึ่งก็ต้องปั่นกันอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่ต้องถึงกับใช้วินช์ ไม่เกินเที่ยงวันทั้งขบวนก็เดินทางกลับมาถึงยังเมือง Waroona ได้อย่างปลอดภัย ก่อนจะขับย้อนกลับมาพักยังฟรีแมนเทิล (Fremantle) เมืองปากแม่น้ำสวอน เมืองท่าที่สำคัญที่มีความสวยงามและเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเรื่องมรดกทางสถาปัตยกรรมและความผสมผสานทางวัฒนธรรม
TJM Australian Off Road Trip ผจญภัยสุดขอบฟ้าบนเส้นทาง Wellington และ Waroona เมืองเพิร์ท ออสเตรเลียครั้งนี้ แม้จะเป็นทริปเล็กๆ เดินทางกันแบบสบายๆ สไตล์ครอบครับ TJM แต่ยิ่งใหญ่ในเรื่องของมิตรภาพที่แต่ละคนต่างมอบให้กันและกัน และเป็นอีกครั้งที่ ทีมงาน TJM 4×4 Thailand และ TJM 4×4 Australia ได้ผนึกพลังรังสรรค์ทริปดีๆ สนุกสนาน ได้ทดลองทั้งรถ ทั้งคน และอุปกรณ์ต่างๆ ของ TJM อย่างครบถ้วน ยกมาเป็นของกำนัลให้กับผู้ร่วมเดินทางทุกคน